เฮ้อ ...อะไรในโลกนี้นี่มันไม่เที่ยงจริงๆ เลย เพิ่งรู้สึกว่าเมื่อวานนี้เองที่คุณครูเพิ่งขานชื่อฉันว่า “ปิยมาลย์ สุขแก้ว” เด็กหญิงตัวดำ เหาเต็มหัว แถมยังตัดผมบ๊อบยังกะเด็กผู้ชายที่คอยรังควานคนอื่น ขนาดที่ว่าไม่ให้ใครได้ดีเกินตัวเอง (คดีนมช็อกโกแล็ต VS นมจืด) จนกระทั่งว่าไม่มีใครเขาอยากเล่นด้วยเมื่อสมัยอนุบาล จนเจ้าคุณพ่อตัดสินใจไม่ให้เข้าโรงเรียนประจำอำเภอเหมือนพี่สาวคนเก่งและฉลาดเอาการ ช่างเหอะ พอหยวนๆ ให้ เพราะตอนประถมก็ยังยอมให้เข้าโรงเรียนเกือบจะประจำอำเภอ ยังไงก็ใกล้ๆ กับโรงเรียนประจำอำเภอแหละน่า ก็ใครเค้าจะไปไว้ใจให้ she โกอินเตอร์ได้ล่ะ ก็มีโรค “ขี้ลืมขึ้นสมอง” แถมยัง มีเวลาที่ไม่ค่อยจะตรงกับคนอื่นซักเท่าไหร่ แฮะๆๆ
แหม!! ดูเหมือนว่าประวัติไม่ค่อยจะสวยซักเท่าไหร่ ตั้งแต่อนุบาลเลย และที่สำคัญป๊ะป๋าก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเค้าซักเท่าไหร่ ก็จะอาไร้ ถ้าไม่ใช่คอยอบรมเรื่องมารยาทให้ตั้งแต่ประถมก่อนที่ฉันจะเดินต๊อกแต๊กไปโรงเรียนอนุบาลใกล้บ้าน ก็คงทำให้ฉันไปเข้าแถวเคารพธงชาติทันเพื่อนมั่งแหละน่า (ที่จริงตัวเองตื่นสายจนต้องถูกทำโทษก่อนไปโรงเรียน) บางทีนะให้เด็กอนุบาลที่น่าสงสารอย่างฉันวิ่งรอบบ้านซัก 10 รอบ กระโดดตบ 20 ครั้ง เก็บขยะรอบๆ บริเวณบ้าน โอ๊ย! ก่อนจะได้ออกจากบ้านเหมือนเพื่อนะเล่นทำเอาหอบทั้งพี่ทั้งน้อง บางวันฉันรีบตื่นแต่เช้าไปโรงเรียนแต่ก็ถูกมาตามให้กลับบ้านตามประกาศเคอร์ฟิว เหตุผลเพราะไม่เสียบสายกาน้ำร้อนต้มกาแฟให้ท่านพ่อ ก็ใครล่ะจะไปเก่งเหมือนลูกสาวคนโตที่อยู่ ป. 2 สอบได้ที่ 1 ทุกปี และแสนจะน่ารักเหมือนยัยน้ำลายยืด ที่ทำให้ฉันต้องแก่กว่าถึง 5 ปี จนทำให้เด็กอนุบาลอย่างฉันต้องเป็นพี่สาวตั้งแต่อายุยังไม่พร้อม
จะบอกว่าตอนอนุบาลยังน้อยไป เมื่อเทียบกับวาระที่ฉันอยู่โรงเรียนประถม(โรงเรียนบ้านหัวหนอง) ต้องให้คุณป๊ะป๊าไปส่งที่โรงเรียนนี่สิ ฉันต้องวิ่งตามตูดรถกระบะคันสีน้ำเงินเพื่อนยากคันนั้นเพื่อให้ทันไปโรงเรียนทุกวัน บางวันฉันก็สายด้วยเรื่องที่ไม่คาดฝันนั่นคือ หาถุงเท้า รองเท้า กระเป๋า สมุดการบ้าน ไม่เจอ โดยเฉพาะรองเท้าที่ต้องเข้าไปหาที่ป่ากล้วยทุกวันเพราะถูกผู้ประกาศอัยการศึก(ก็จะใครล่ะ) โยนทิ้งข้อหาถอดไว้ไม่เป็นที่เป็นทาง จนทำให้ฉันเจอกับเจ้าหนอนบุ้งที่ห้อยอยู่กับต้นกล้วย และทำให้ฉันต้องกลัวมันเท่าทุกวันนี้ (บางคืนก็ยังฝันร้ายเพราะเจ้าหนอนตัวนั้นแหละ) และด้วยความที่ฉันเป็นตัวของตัวเองมากเกินไปจนทำให้ต้องย้ายโรงเรียนเพื่อหาประสบการณ์ถึง 3 โรงเรียนแน่ะ
ชุมแพศึกษาแหล่งวิชาให้ความรู้ สีเขียวชมพูสู่ศรัทธาพาฟูเฟื่อง....และแล้วชีวิตวัยทีนก็มาถึงแบบเต็มรูปแบบ ฉันเข้าเรียนมัธยมที่โรงเรียนชุมแพศึกษา เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่มากกก เพราะมีนักเรียนเกือบๆ 3,000 คน ฉันตั้งใจเรียนที่สุดเลยเพราะรู้สึกว่าสนุกไปหมดเลย ยกเว้นกฎที่กักบริเวณคนที่เข้ามาโรงเรียนหลัง 08.00 น. และการตัดผมที่ฉันรักนักรักหนา และการมาอยู่ที่นี่ทำให้ฉันได้เรียนรู้กับภาษาอังกฤษอย่างเต็มรูปแบบ ฉันรักการเรียน การอ่าน และแม้แต่การร้องเพลงฝรั่ง ก็เพราะมีครูที่ดีที่คอยเป็นแบคอัพอยู่เบื้องหลัง สอนทั้งก่อนนอนและหลังเลิกเรียน (สงกรานต์ยังสอน) นั่นคือ คุณครูอนงค์ สุขแก้ว ก็พ่อฉันเป็นครูนี่นา ดูนามสกุลก็รู้ว่าพ่อใครเนอะ พอฉันอยู่ ม. 5 พี่สาวฉันก็เข้ามหาวิทยาลัย (ตอนนี้กำลังเรียนเนติบัณฑิต) น้องสาวฉันก็เข้าเรียน ม. 1 ทำให้แม่ทำงานหนักเพิ่มขึ้นและอีก 1 ปีต่อมา แม่ก็ได้กลายเป็น talk of the town ของหมู่บ้านเพราะตั้งครรภ์ลูกชายคนเล็ก แต่ใครถ้าเห็นแม่ฉันก็คงจะอิจฉาเพราะหน้าเด้งยังกะเด็กปีหนึ่ง ท่านขายของที่ตลาดเช้าโรงหนังเก่าที่ค่าเช่าแผงแพงหูขี้ (ตอนนี้ 180 แล้ว) ต่อวัน ก็ขายผักสด พริกแดง กระเทียม ขิง ประมาณนี้แหละแบบว่าขายหลายอย่าง และก็มี order ส่งร้านอาหารเกือบทุกวัน พอฉันเลิกโรงเรียนปั๊บ งานแรกที่ต้องทำก็คือเด็ดพริก และปอกเปลือกกระเทียม เตรียมขายตอนเช้าและส่งร้านอาหารมั่ง ตอนนี้มี order เยอะมั่กๆ โดยเฉพาะช่วงเทศกาล ถ้ามาตลาดนี้ถามหาเจ๊สมหมาย รับรองรู้กันทั่วตลาด บางครั้งฉันก็ไปขายของกับแม่ โดยเฉพาะตอนที่แม่ตั้งท้องลูกคนที่ 4 ฉันกับยายก็ไปขายแทน ยายฉันนะคิดเลขเร็วโคตรๆ ไอ้เรายังคิดไม่ทันเลย ก็แกเป็นแม่ค้าเก่า แถมขยันจนบางครั้งฉันเครียดลงกระเพราะ เพราะแกพาหอบของไปขายตั้ง 3 ตลาด ไอ้เรานี่สิทั้งเรียนทั้งเตรียมตัวจะเข้ามหาวิทยาลัย เล่นเอาไม่มีแม้กระทั้งเวลาทำการบ้าน กลับมาถึงบ้านก็ตี 3 ตี 4 เพราะขับรถมอ’ไซด์ไปส่งยายที่ตลาด จนกระทั่งแม่คลอดน้องนั่นแหละยายจึงได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัด…เอาวัยทีนช้านคืนมาฮือๆๆ
ถึงฉันจะทำงานหนักแต่ก็ไม่ทิ้งเรื่องการเรียนเหมือนที่พ่อประชดหรอกน่ะ เพราะขนาดไม่ค่อยได้อ่านหนังสือหลังเลิกเรียน ขนาดไปโรงเรียนสายทุกวัน ขนาดหลับในห้อง ยังได้เกียรตินิยมอันดับ 2 ทั้ง ม. 4 5 และ ม. 6 เทอมแรกเลย คงเป็นเพราะพ่อคอยจ้ำจี้จ้ำไชตอนที่แกเลิกโรงเรียน และเวลาดูละครของฉันก็ไม่เคยมีมาในอดีต พ่อดูข่าวเราก็ได้ดูแต่ข่าว กฎของบ้านคือห้ามดูละคร (ยกเว้นแต่ตอนที่ท่านไม่อยู่) เวลาดูละครคือเวลาที่ฉันต้องอ่านหนังสือให้พ่อฟัง และรอยต่อแห่งอนาคตของฉันก็มาถึง เมื่อสมัครเข้าเรียนต่อคณะศึกษาศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ พ่อฉันสนับสนุนให้เรียนครู 100 เปอร์เซ็นต์ เด็กสาวแสนสวยและดีอย่างฉันก็ต้องตามใจท่านเพราะอยากเรียนภาษาอังกฤษอยู่แล้ว และอีกอย่างพ่อสามารถที่จะเบิกค่าศึกษาบุตรได้ ก็คงจะลดภาระได้เพราะพี่สาวฉันเรียนมหาลัยเอกชน
เห็นหรือยังว่าเรื่องราวของฉันมันเหมือนเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ก็เพิ่งเริ่มเมื่อตอน 29 พฤศจิกายน 2531 นี่เองตอนนี้ฉันก็อายุ 22 แล้วละ จริงๆ นะ ถึงแม้บางคนจะบอกว่าเหมือนเด็กอายุ 12 ชีวิตที่มหาวิทยาลัยฉันก็มหาวิทยาลัยจริงๆ ปี 1 ยันปี 4 ก็ยังอยู่หอพักในมหาวิทยาลัย เปลี่ยนหอทุกปีดังนี้แล ตอนปีหนึ่งอยู่พุทธรักษา 210 ปีสองย้ายไปกุดรัง 103 ปีสามกลับมาที่ ม. เก่า อยู่ก๊ะเจ๊ไข่ (นุ้ย) ที่เบญจมาศ 110 แต่พอเทอม 2 มีเหตุให้ต้องคืนไปที่หอกุดรัง ทีนี้ไปอยู่ห้อง 129 พอปี 4 ก็อยู่กุดรังนั่นแหละแต่เปลี่ยนห้องมาเป็น 103 และแล้วข้าพเจ้าก็มีเรียนแต่ที่ ม. เก่า ก็เลยต้องย้ายมาอยู่ที่หอเบญจมาศ 103 เจ้าค่ะ ฉันมีเพื่อนที่สนิทอยู่ 2 คน คือบุญภา (ไข่นุ้ย) และก็ สุภาภรณ์ (ปั๊ก) นั่นแหละที่นัด นัด นัด ทำงานแต่ ม. เก่า แต่ก็ด้วยแรงบันดาลใจของสองคนนี้ทำให้ฉันมาเรียนทันเวลากะเขาซะที ฉันเปลี่ยนหอบ่อยจนมีเพื่อนเกือบทุกคณะแล้วล่ะ แต่ก็เสียดายอย่างหนึ่งที่มาอยู่ม.เก่าไม่มีสระว่ายน้ำเหมือนอยู่ที่กุดรังม.ใหม่ ฉันไปว่ายน้ำทุกวันสมัยอยู่ที่โน่น คิดถึงซิทแพ็คหนุ่มๆ จัง (ล้อเล่น) สายตาสั้นตั้ง 250 จะไปมองเห็นอะไร ถ้าไม่ดำน้ำไปดูใกล้ๆ แฮะๆๆ อันนี้แค่บังเอิญเห็นเฉยๆ หรอกน่า...ฉันว่ายน้ำเป็นเพราะเกือบเคยจมน้ำแต่ไม่ยักกลัวน้ำเหมือนกลัวหนอนบุ้ง ตอนนี้ว่ายเป็นทั้ง 4 ท่า ผีเสื้อ Free Style กบ และกรรเชียง ตอนที่ว่ายน้ำน่ะหุ่นดี๊..ดี แต่ตอนนี้ลดยังไงก็ไม่ลง
และแล้วชีวิตที่รั้วเหลืองเทาแห่งนี้ก็ใกล้สิ้นสุดลงทุกเมื่อเชื่อวัน เพราะข้าน้อยจะได้เป็นนิสิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ที่โรงเรียนบ้านหนองคู ว้า...คงคิดถึงที่นี่แย่เลย EN Fighting
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น